เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.พ. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระเป็นวันที่ว่าวันทำบุญกุศล เราทำบุญกุศล เห็นไหม ทำบุญกุศลเพื่อสิ่งใด ทำบุญกุศลเพื่อการเดินทาง มันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสนี่ผลของวัฏฏะ เรามาเกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นคนมันต้องมีบุญกุศลมา.. ถ้าไม่มีบุญกุศลมา ผลของวัฏฏะ จิตนี้มันต้องเกิดตลอดไป เราจะปฏิเสธหรือเราจะไม่รู้ไม่เข้าใจ

ดูสิ สิ่งใดทำมาเมื่อวานนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว สิ่งต่างๆ เราทำมา สิ่งนั้นเหมือนกับผ่านไปแล้ว เหมือนกับเราไม่ได้ทำสิ่งใดมาเลย แต่มันมีนะ มันมีผลกระทบมา ถ้าสิ่งนั้นเราทำสิ่งที่ไม่ดีมา ในปัจจุบันนี้เราจะไม่สบายใจ แต่สิ่งใดที่เราทำมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว สิ่งนั้นเป็นคุณงามความดีหมดเลย เรานึกถึงสิ่งนั้นทีไรเราก็มีความสุขใจ

สิ่งที่ทำมานี่ผลของกรรม ในการเกิดก็เหมือนกัน ในชาติปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้เพราะเราได้ทำคุณงามความดีของเรามา เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วทำไมคนที่ทำไม่ดีล่ะ.. คนที่ทำไม่ดี ดูสิ ดูปลวก ดูมด ดูต่างๆ แต่ละรังมันมีจิตวิญญาณเท่าใด นี่ผลของวัฏฏะนะมันเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติของมัน ใครจะรู้หรือไม่รู้มันเป็นความจริงอย่างนั้น

จิตของเรามาเกิดเป็นเรา เราก็รู้เฉพาะที่เรารู้นี่แหละว่าเป็นเรา เราปรารถนาความสุขความทุกข์ขนาดไหน เห็นไหม เราทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ นี่มันเป็นอามิส ถ้าทำบุญกุศลขนาดไหน ทำบุญกุศลนะ เวลาทำบุญกุศลขึ้นมาจิตใจเป็นธรรมขึ้นมา เหมือนกับคนเคยทำเวลาขาดสิ่งใดไป มันจะเกิดว่าสิ่งนี้เราขาดสิ่งใดไป มันจะทำสิ่งนั้นให้เต็ม นี่คือความเคยชิน

ถ้าความเคยชินในทางบวก ในทางที่เป็นธรรมก็เป็นการเสียสละ โลกเขาบอกว่าคนนี่เป็นคนโง่ เป็นคนที่ไม่รู้จักแสวงหาผลประโยชน์ ไอ้คนที่ว่าเขาแสวงหาผลประโยชน์ของเขา เพื่อความมั่งมีศรีสุขของเขา แต่เขาหาฟืนหาไฟใส่ตัวเขาโดยเขาไม่รู้ตัว เราเสียสละของเราไปเขาหาว่าเป็นความโง่ เห็นไหม ฉลาดในทางธรรม แต่โง่ในทางโลก.. แต่ถ้าฉลาดในทางโลก โง่ในทางธรรม

โง่ในทางธรรม.. ทางธรรมนี่เวลาเราทำบุญกุศลกัน เรามาฟังธรรมๆ สิ่งที่ฟังธรรม เห็นไหม ไฟในบ้านเราเราต้องดับไฟในบ้านเราก่อนนะ ถ้าไฟในบ้านเราไม่ดับ เราจะไปดับไฟบ้านคนอื่นนี่เราทุกข์มากเลย นี่เราต้องการให้คนนั้นเป็นคนดี ต้องการให้สังคมเป็นสิ่งที่ดี ต้องการให้เป็นคนดี เราจะไปดับไฟที่อื่น เราพยายามดับทั่วไปหมดเลย

เวลาไฟอยู่บนหัวของใครเที่ยวไปดับไฟให้เขา แต่ไฟบนหัวของเราล่ะ ถ้าเราดับไฟในหัวของเราแล้วเราจะเข้าใจได้เลยนะว่าเวลามันเผารนเรานี่ เวลาไฟมันเผาบนศีรษะมันจะเจ็บปวดแสบร้อน มันจะรู้เลยว่าเรามีความเจ็บปวดแสบร้อน แต่เราไม่เห็นไง เราไม่เห็นเคยดับไฟของเรา แต่เราเห็นไฟติดบนศีรษะคนอื่นนะ โอ้โฮ.. ไฟมันร้อนนะ ไฟมันทุกข์มากนะ

นี่แสดงธรรมกัน เห็นไหม นี้คือสัญญา นี้คือปริยัติ นี้คือการจำมา สิ่งที่จำมานี่จำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เวลาบอกคนนั้นแสดงธรรมก็ดี ทำไมจะไม่ดีก็แสดงธรรมนี่แสดงธรรมของพระพุทธเจ้า.. ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้สุดยอดมาก ! แล้วทุกคนก็ศึกษาทางปริยัติมา แล้วมีการศึกษามาก็แสดงธรรมๆ แสดงธรรมในภาคปริยัติ ในทางปริยัติมันถึงไม่มีข้อเท็จจริง

หลวงตาท่านพูด เห็นไหม “คนถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ จะพูดปิดบังขนาดไหนมันก็ออกมาจากเสียงนั้นแหละ มันต้องมีเกร็ดของมันออกมา คนที่ไม่รู้พูดจนตายมันก็ไม่รู้ ไม่มีคุณธรรมออกมา”

เสียงเหมือนกัน เสียงอันหนึ่งประกอบไปด้วยคุณธรรม เสียงอันหนึ่งคือเสียง ดูสิ เสียงเวลาติฉินนินทา เสียงเขากล่าวร้าย มันให้ผลลบกับเรา แต่เสียงสรรเสริญมันให้เป็นความเยินยอกับเราจิตใจก็ฟู นี่เสียงเหมือนกัน เวลาให้ทางแง่บวกแง่ลบไง เสียงที่ออกมามีคุณธรรมนะ มันฟังออก ฟังได้ แต่พวกเราจิตใจมันอ่อนด้อย พออ่อนด้อยขึ้นมานี่ว่าท่านเทศน์ดี๊ดี... ดีสิ ! เอาอกเอาใจทำไมจะไม่ดีล่ะ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ เห็นไหม อู้ฮู.. ท่านเทศน์ดุ๊ดุ

เทศน์ดุขนาดไหนแต่มันมีคุณธรรม มีสิ่งเตือนหัวใจเรา มันเป็นประโยชน์กับเรานะ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี.. พ่อแม่นี้รักลูกมาก แต่พ่อแม่ก็พยายามสั่งสอนลูกมาก บังคับลูกมากเพื่อให้ลูกเป็นคนดี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะ ! เพราะถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจถึงที่สุดแห่งทุกข์นี่จะระลึกถึงคุณ

แต่ในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว เวลาเราระลึกถึงเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม แก้วสารพัดนึกของเรา เราพยายามระลึกถึงบุญถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทรมานทรกรรมมานะ แล้วทรมานทรกรรมแต่จิตใจทำไมมั่นคงขนาดนั้นล่ะ ถ้าเราทรมานทรกรรมนี่เราไม่เอาแล้ว เราไปทางอื่นดีกว่า

นี้ทรมานทรกรรมขนาดไหนก็พยายามทำแต่คุณงามความดี มีหลักยึดมั่น นี่บารมีธรรม.. บารมีธรรมจะมีจุดยืนของเขา จุดยืนมั่นคงมากแล้วทำให้ถึงที่สุดได้ พอถึงชาติสุดท้ายประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วเผยแผ่ธรรมไป พอเผยแผ่ธรรมไปนี่คนคัดค้านก็มี คนจ้างคนมาด่าก็มี ใครมาว่าสมณะหัวโล้น สมณะไม่เอาไหน สมณะไม่ทำอะไรเลย สมณะเห็นแก่ตัว สมณะไม่ทำมาหากิน

นี่โดนติฉินนินทาทั้งนั้นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนมาตลอด แต่เวลาท่านเผยแผ่ธรรมไป เวลาใครประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “ใครทรมานมา ใครทรมานมา”

ใครทรมานหมายถึงว่าใครฝึกฝนมา เวลาทรมานกิเลสนะเรานี่ไม่เคยเห็นความผิดของเราหรอก เราจะว่าเราดีทั้งนั้นแหละ.. ยิ่งไปเสริมด้วยว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม กิเลสเต็มตัวเลย ศึกษามานี่แล้วเอากิเลสมาใช้ กิเลสมันได้ปืน คนป่ามีปืนมันปล้นนะ คนป่ามันได้ปืนมามันฉ้อโกงหมดแหละ กิเลสมันเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประดับเกียรติมัน เห็นไหม มันมีหลังฉาก

นี่มันมีหน้าฉาก หลังฉาก.. หน้าฉากคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อู้ฮู.. มันไพเราะ มันซาบซึ้ง นี่มันจะล้วงกระเป๋า แต่เวลาเป็นความจริงขึ้นมานี่กระทบ เห็นไหม “จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง”

จากใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้น นี่ใครทรมานมา ใจนี้ใครทรมานมา ทรมานมาด้วยมรรคญาณ ทรมานมาด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ทรมานขนาดไหน เราสร้างคุณงามความดี เราตั้งใจทำขนาดไหนเราก็มีความผิดพลาดเป็นธรรมดา ถ้าเรามีครูมีอาจารย์ เห็นไหม ใครทรมานมา.. ดูสิ เวลาเราไปปรึกษาครูบาอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์คอยชี้แนะเรา นี่เวลาชี้แนะมาไม่ถูกใจทั้งนั้นเลยล่ะ

นี่ไงไม่ถูกใจหรอก เพราะอะไร เพราะเราทำของเราเราพอใจของเรา นี่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราพอใจ สิ่งนี้เป็นคุณงามความดีของเรา ท่านบอกว่าไม่ใช่ โอ้โฮ.. หงุดหงิดเลยนะ โอ๋ย.. ทำมาเกือบตายนึกว่าจะได้ให้คะแนนจะได้ยกตูด ไม่ได้ยกตูดนะกระทืบซ้ำอีก ทุกข์อีก ! นี่ใครทรมานมา การทรมานนะเพราะอะไร เพราะกิเลส

กิเลส เห็นไหม ดูสิ ขนาดเราศึกษามาเรายังเอาธรรมะมา.. นี่เหมือนคนป่ามีปืน เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสินค้า เป็นเพื่อผลประโยชน์ เป็นเพื่อศักยภาพ เป็นเพื่อชื่อเสียงของตัว นี่ขณะที่ไม่ปฏิบัติมันยังเอาธรรมะมาอ้างอิงขนาดนี้ แล้วเวลาปฏิบัติไปกิเลสมันพลิกเลยล่ะ มันบังเงานะว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นธรรม ไอ้เราปฏิบัติไปเราก็ว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นธรรม พอเจอครูบาอาจารย์ท่านเคยโดนกิเลสหลอกมาก่อน ท่านหัวปักหัวปำกับกิเลสมาก่อน

เหมือนท่านเคยโดนกิเลสมันฉ้อฉลขนาดไหน แล้วท่านกว่าจะผ่านมาด้วยความเห็นของท่าน ท่านจะผ่านมาด้วยครูบาอาจารย์คอยชี้แนะคอยบอก เห็นไหม นี่คอยให้เทคนิคนะ อันนั้นมันใช่จริงหรือเปล่า อันนั้นที่พยายามรักษาไว้มันจะไม่เสื่อมเหรอ นี่ที่รักษาไว้มันต้องแบกไว้หรือเปล่า ธรรมะต้องแบกไว้อย่างนั้นเหรอ.. นี่ครูบาอาจารย์ท่านจะให้เกร็ด มีเกร็ดคอยบอกให้เราได้ฉงนใจว่าสิ่งที่เราถนอมรักษาอยู่นี้มันจริงหรือเปล่า มันจริงหรือเปล่า เห็นไหม

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์แต่ไม่ได้บอกนะ เราก็ว่าของเราถูก ของเราถูก เวลาครูบาอาจารย์บอกมานี่ โอ้โฮ.. ทำไมครูบาอาจารย์ท่านไม่เคยส่งเสริมเราเลยเนาะ อู้ฮู.. มีแต่ติ มีแต่คอยว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” นี่เพราะรัก เพราะปรารถนาดี แต่นี้ครูบาอาจารย์ท่านก็ได้ล่วงไปแล้วล่ะ ทีนี้พอล่วงไปแล้วนี่ใครจะตีล่ะ พอไม่มีใครตีนะ โอ้โฮ.. กิเลสมันยิ่งฟูนะ ทีนี้ไม่มีใครคอยชี้แนะ คอยกำราบ เวลาอยู่กับท่านๆ บอกเลยนะ

“ใครๆ ก็แล้วแต่ เวลามานี่มันมีเขี้ยวมีเล็บมาทั้งหมดแหละ แต่เพราะมีครูบาอาจารย์มันเก็บเขี้ยว ซ่อนเขี้ยวซ่อนเล็บมันไว้ เวลามันออกจากเราไปมันก็กางเขี้ยวกางเล็บคอยตะปบเขาเลย แต่เวลามาอยู่กับเรานะมันจะซ่อนเล็บซ่อนเขี้ยวของมัน”

นี่ถ้ามันซ่อนเล็บซ่อนเขี้ยว.. คำว่าซ่อนเล็บซ่อนเขี้ยวเราก็เห็นได้ใช่ไหม เวลาสิงห์สาราสัตว์มันมีเขี้ยวมีเล็บของมันมันก็น่ากลัว แม้แต่สุนัขยังไม่อยากเข้าใกล้เลย อันนี้มันเปรียบเทียบไง แต่ความจริงมันมาในรูปของความนุ่มนวล มาในรูปของความอ่อนหวาน มาในรูปของการล้วงตับ นี่แต่เราไม่เข้าใจว่านั่นคือเขี้ยวคือเล็บไง

ถ้ามันคือเขี้ยวคือเล็บ เราเห็นว่าเขี้ยวเล็บนะมันก็น่ากลัว เพราะมันเจ็บแสบปวดร้อนนะเวลามันทำร้ายเรา แต่ถ้าเขามาในเชิงอ่อนหวานล่ะ ในเชิงนุ่มนวลล่ะ เราถึงเวลาฟังธรรมขึ้นมานะ โอ้โฮ.. ท่านเทศน์ดี๊ดี นั่นล่ะนุ่มนวลอ่อนหวาน แล้วเทศน์ธรรมะผิดเหรอ.. ไม่ผิด เทศน์ของพระพุทธเจ้าผิดเหรอ.. ไม่ผิด เทศน์ของพระพุทธเจ้านี่สุดยอดจริงๆ แต่นั้นมันเป็นความสุจริตหรือเปล่า มันเป็นความสุจริตหรือทุจริต ถ้าด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นเรื่องหนึ่ง

คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่การทำบ่อยครั้งเข้านี่เขาต้องรู้ของเขา.. ทำดีทำชั่วทุกคนรู้นะ รู้ว่าชั่ว เราก็สงสัย เราก็ว่าไม่เป็นความจริง ในเมื่อเราสงสัยเราว่าไม่เป็นความจริงนี่ เรารู้ไหม.. รู้ ! แล้วรู้ทำออกไปนี่มันทุจริตหรือยัง.. ทุจริต แล้วทุจริตออกไป เห็นไหม นี่พระพุทธเจ้าถึงพูดถึงมนุษย์นะ ว่ามนุษย์นี้แปลกประหลาดมาก “คิดอย่างหนึ่ง.. ทำอย่างหนึ่ง.. พูดอย่างหนึ่ง”

มนุษย์นี่ล่ะ นี่ไง ความคิดนี่รู้ ! รู้ถูกรู้ผิดอยู่ แต่พูดออกไปมันเสียหน้า เห็นไหม รู้ ! พูดอย่างหนึ่ง.. ทำอย่างหนึ่ง.. คิดอย่างหนึ่ง.. แล้วเพราะไหม ธรรมะเพราะไหม.. เพราะ ! แต่ความจริงเป็นอย่างไร.. นี่ผู้ปฏิบัติรู้ ทีนี้ผู้ปฏิบัติรู้นี่เข้าใจได้ ถ้าเข้าใจสภาวะสิ่งนี้ได้ เห็นไหม นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า “ดับไฟในตัวเราก่อน”

ถ้าดับไฟในตัวเรา อย่างเช่น ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านเป็นธรรมนี่ท่านรู้สภาวะแบบนั้น..โลกธรรม ๘ มันเป็นอย่างนี้ ธรรมะเก่าแก่มันมีมาอยู่โดยดั้งเดิม ใครจะมารู้มันหรือไม่รู้มัน มันก็เป็นอย่างนี้ แล้วโลกไม่รู้มันหมดเลย โลกนี่อยู่กับมันโดยไม่รู้มันเลยนะ แต่ครูบาอาจารย์นี่กว่าจะรู้มันได้ กว่าจะรู้มันได้มันต้องกำราบใจของตัวเองอยู่ได้ ถ้ามันกำราบใจของตัวได้มันจะรู้ถึงสภาวะแบบนี้

ถ้ารู้สภาวะแบบนี้ เห็นไหม ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านะ” พระอริยเจ้านี่นิ่งอยู่เพราะอะไร เพราะพูดออกไปเขาไม่รู้กับเรา เขามองในมุมกลับเลยว่าคนๆ นี้เป็นคนที่อิจฉาตาร้อน คนๆ นี้มองโลกในทางลบ คนๆ นี้มีแต่การจับผิดคนอื่น.. แต่ไม่ได้จับผิด ถ้าจับผิดมันต้องสาวไส้ไปหมดแล้ว นี้เพียงแต่ว่ารู้เหตุรู้ผลไง

หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ ท่านบอกสมองของท่านนี่เยอะแยะไปหมดเลย แล้วมันเหมือนกับลิ้นชัก ใครมาพูดสิ่งใดปั๊บก็เก็บใส่ลิ้นชักไว้แล้วเก็บไว้ๆ ไม่เปิดเลย เห็นไหม แต่ถ้าวันไหนเจอหน้านะ วันไหนถึงเหตุการณ์ท่านเปิดลิ้นชักมานะ ความผิดของเอ็งนะตั้งแต่เริ่มต้นอย่างนี้ๆๆๆๆ ถึงที่สุดเลย แต่ท่านไม่เอาออกมาใช้เลยนะ นี่ความผิด

นี่ไงความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า ! ความนิ่งอยู่นี่ในสมองมันเก็บไว้เหมือนลิ้นชัก มันรู้หมดแหละว่าอะไรๆ มันเก็บไว้ในนั้นแหละ มันไม่เอาออกมาหรอก แต่ถ้าวันไหนมันเปิดออกมานะไอ้คนๆ นั้นมันถลกหนังเลย..

นี่ความนิ่งอยู่เพราะอะไร เพราะสังคมเขาไม่รู้ของเขา สิ่งที่ไม่รู้เหมือนสอนเด็กเลย เด็กมันไม่รู้พูดขนาดไหนมันก็ไม่รู้ แต่เราใช้อุบายเปรียบเทียบ เห็นไหม อุบายเปรียบเทียบว่านี้เขาเรียกไอ้นี่นะ นี่เขาเรียกไอ้นี่นะ จนมันศึกษามันเข้าใจ แล้วมันจะรู้ของมันว่านี่เขาเรียกว่าไอ้นี่นะ เหมือนเด็กๆ

จิตใจนี่ถ้าภาวนาไม่เป็น จะพูดธรรมะพระพุทธเจ้าสูงส่งขนาดไหน เหมือนเด็กๆ เด็กๆตรงไหน เด็กๆ ตอนที่มันแสดงออกเวลาพูดนั่นล่ะ เวลาพูดธรรมะของพระพุทธเจ้ามันไม่ไปทางเดียวกันหรอก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะไม่ขัดแย้งกัน ธรรมะต้องดำเนินไปทางเดียวกัน ถ้ามีการขัดแย้งกันต้องผิดเด็ดขาด ไม่ ๒ คนนี้ก็ต้องผิดคนหนึ่ง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดแย้งกันเลย

แต่นี้พอเวลาพูดธรรมะนี่ศีล สมาธิ ปัญญา ! ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสิ่งต่างๆ ขึ้นมานี่มันเกิดสมาธิได้ไหม.. เกิดได้ ! เกิดขึ้นมาก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะเกิดขึ้นมาเขาถึงทำคุณไสยฯ กัน เห็นไหม ผู้วิเศษเหาะเหินเดินฟ้า เวลาเหาะเหินเดินฟ้าทำสิ่งต่างๆ นั่นล่ะเพราะว่ามันไม่มีศีลควบคุม

ศีล ! ศีลคือความเป็นปกตินะ เวลาเกิดสมาธิขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิเพราะอะไร เพราะปาณาติปาตา ไม่ทำลายไม่ทำร้ายใคร ไม่คิดถึงใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะศีลมันควบคุมไว้ตั้งแต่ต้น ถ้ามีศีลขึ้นมาสมาธิก็เป็นสัมมา พอสัมมาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธินี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร..

นี่พอเกิดสมาธิแล้วเขาบอกว่า “เกิดสมาธิแล้วเกิดปัญญาเอง”

ถ้าเกิดปัญญาเองนะ ฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว นี่มันเกิดไม่ได้ ! มันเกิดไม่ได้หรอก ถ้ามันเกิดได้นี่เกิดปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาโลกทำให้เกิดสมาธิไม่ได้ เพราะเกิดปัญญามันฟุ้งซ่าน เกิดปัญญา ปัญญามันหมุนอยู่มันจะเป็นสมาธิไม่ได้ เป็นสมาธิต้องสงบตัวลง พอมันสงบตัวลงแล้วต้องเกิดโลกุตตรปัญญามันเป็นอย่างใด.. พูดไม่เป็น ! พูดไม่เป็นหรอก !

พูดธรรมะพระพุทธเจ้าพูดไปเถอะ แล้วมันขัดแย้งกันไปหมดแหละ.. พูดไม่เป็น ! คือเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ถูกไง มันเรียงลำดับเหตุการณ์ถึงความเป็นไปของจิตไม่เป็น นี่เวลาพูดธรรมะพระพุทธเจ้าก็พูดไปเป็นวรรคเป็นตอน พูดไปนี่จับแพะชนแกะ จับปลาชนปลาไหล นี่งูๆ ปลาๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ

นี่พูดถึงคนเป็นมันจะเป็นนะ แล้วเขาจะรู้ได้ เดี๋ยวเขาจะบอก แหม.. โมโหใหญ่เลย เพราะเขาไม่เชิญไปเทศน์ (หัวเราะ) พูดเหตุผลให้ฟัง ไม่ได้ไปเทศน์หรอก ถ้าไปเทศน์ไปแล้ว นี่พูดให้ฟังว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ความเป็นจริงเป็นอย่างไร.. นี่มันเป็นไปได้ ถ้ามันเป็นไปได้นี่มันเป็นไป

ไม่ไปหรอก ! ถ้าไปไปแล้ว ไม่ไป.. แต่ถ้าไปก็ไปเพื่อเชิดชู เห็นไหม งานการมันเป็นไปได้นี่เราพอใจมากนะ สาธุ ! ให้โลกมีความสงบร่มเย็น ที่ไหนมีความสงบร่มเย็นแล้วนี่เราสาธุ กับความสงบร่มเย็นนั้น ที่ไหนมีไฟเดือดร้อนถ้าเราช่วยได้เราก็จะช่วย ถ้าช่วยไม่ได้มันก็กรรมของสัตว์

เราปรารถนาจะไปช่วยคน เห็นไหม เพราะเขาเดือดร้อน แต่คนที่โดนช่วยเขาหาว่าเราจะไปรังแกเขา เราจะไปแย่งชิงสิ่งสมบัติของเขา เขาไม่คิดว่าไปช่วย เขาคิดว่าไปแย่งชิงในความเห็นของเขา แต่นั้นถ้าเขาคิดว่าไปแย่งชิงเราจะลงไปแย่งชิงกับเขาไหม ถ้าเราไม่ไปแย่งชิงกับเขา เราถึงต้องช่วยด้วยกำลังใจ ช่วยด้วยน้ำใจ ถ้าช่วยด้วยน้ำใจนี่ขอสาธุ ขอให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ขอให้สำเร็จผลประโยชน์ทุกๆ คน แล้วโลกนี้จะเจริญ เอวัง